KS Research ของกลุ่มเครือธนาคารกสิกรไทยได้มีการปรับวิธีกำหนดเป้าหมายเรื่องดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index 2561 ขึ้นมาใหม่ ตอนแรกมีการใช้ Top Down Approach ให้กลายเป็น Bottom Up Approach เหตุเพราะเกิดความเหมาะสมมากกว่า อีกทั้งยังเป็นวิธีสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลง ด้านราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละบริษัทที่ทางกสิกรได้ออกบทวิเคราะห์มาอย่างแม่นยำมากที่สุด
จากการที่ KS Research มีการปรับประมาณกำไรพร้อมราคาเป้าหมายของหุ้นในกลุ่มพลังงาน สื่อสาร ขนส่งทางอากาศ และบริษัทต่างๆ ในกลุ่มอสังหาฯ ส่งผลให้เกิดการประมาณกำไรต่อหุ้นของตลาดเองเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 111.7 บาท/หุ้น ซึ่งสามารถคิดเป็น EPS Growth 5.4% ในช่วงปี 2561 มีการเลือกใช้วิธี Bottom Up Approach สำหรับการคำนวณเรื่องเป้าหมาย SET Index 2561 จากการเอาราคาของเป้าหมายบริษัทซึ่งได้มีการออกบทวิเคราะห์มาคำนวณเพื่อทำการหาระดับ SET Index จนได้เป้าหมายที่ 1,835 จุด คาดว่ามีโอกาสปรับขึ้นอีก 2.4% จากระดับ 1,792 จุด ทั้งนี้พอมีการรวมกับเงินตอบแทนปันผลเมื่อปี 2561 ในระดับ 2.7% ทำให้เกิดผลตอบแทนรวมกันทั้งหมดที่ 5.1% ตัวเป้าหมาย SET Index ถูกเพิ่มเป็น 1,835 จุด หากเทียบกับ EPS 2562 ที่ระดับ 102.5 บาท/หุ้น เท่ากับว่าสัดส่วนราคากำไรต่ออนาคตปีหน้านี้จะมีค่า 15.2 เท่า
กระนั้นแม้ว่าเป้าหมายของ SET Index จะซื้อขายกันในระดับสูงสุดของรอบ 12 ปี ทว่าทางด้านของ KS Research ได้มีการมองภาพของเศรษฐกิจไทยซึ่งขยายตัวได้ดีที่สุดในรอบหลายปี ส่วนของการเมืองเองดูมีความชัดเจนมากขึ้นหลังการเลือกตั้งคาดว่าจะเป็นตัวดึงดูดชั้นดี เพื่อหวังให้บรรดานักลงทุนต่างชาติจำนวนมากกลับมาให้ความสนใจต่อการซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง อีกทั้งยังเชื่อว่ามีโอกาสหนุนดัชนีให้ได้เกินกว่าเป้าที่วางไว้จากเดิม SET Index 1,835 จุดด้วย มีการประเมินในปี 2561 เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจในบ้านเรามีโอกาสเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมถึง 4.0% ถือว่าเป็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2560 อีกทั้งฐานการเงินของประเทศมีความแข็งแกร่ง เงินทุนสำรองประเทศก็มีสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 42.5% ของจีดีพี เชื่อว่าต่างชาติต้องให้ความเชื่อมั่นเพื่อกลับมาลงทุนอีกครั้งแน่
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ปี 2556 เองนักลงทุนต่างชาติมักขายสุทธิกับตลาดหุ้นบ้านเรามาตลอดนั่นเพราะความไม่แน่นอน ทางด้านการเมืองในทางกลับกันพวกเขาหันไปซื้อสุทธิในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซีย ส่งผลให้ทุกวันนี้การถือครองหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติน้อยมาก ทว่าอนาคตอันใกล้ทุกอย่างจะเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางในแบบที่ควรจะเป็นได้ไม่ยาก