ปกติเวลาลงทุนด้วยกองทุนรวมส่วนมากก็จะมีผู้จัดการกองทุนดำเนินการต่างๆ ให้ ทว่านักลงทุนเองก็ต้องรู้จักศึกษาข้อมูลต่างๆ ติดตามข่าวสารกันตลอดด้วยเหมือนกันเหตุผลเพื่อจะได้ปรับพอร์ตทันหากมีอะไรผิดแปลกไป การจัดพอร์ตในปีนี้มีความน่าสนใจอยู่หลายด้าน สิ่งหนึ่งที่ต้องบอกคือตอนนี้หุ้นไทยกับหุ้นจีนนับเป็นหุ้นเด่นๆ ที่กำลังน่าสนใจสุดๆ เหตุผลส่วนหนึ่งที่ให้ความสนใจไปยังหุ้นไทยเพราะเศรษฐกิจ มีการฟื้นตัวสูงกว่าที่คาดไว้ตอนแรกโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวกับการส่งออก มีการกระตุ้นภาคบริโภค มองในมุมปัจจุบันก็ถือว่าราคาไม่แรงเกินไป
เทคนิคส่วนหนึ่งในการจัดพอร์ตกองทุนหุ้นไทยควรเลือกทำการผสมผสานทั้งหมด 3 แบบ คือ
- กองทุนเน้นนโยบายการบริหารในเชิงรุก ซึ่งเรียกกันว่า แอ็คทีฟฟันด์ ลักษณะคือจะบริหารผลตอบแทนให้เอาชนะดัชนีอ้างอิง เกณฑ์มาตรฐานซึ่งบางคนก็เรียกกันว่า ดัชนีชี้วัด
- กองทุนที่มีนโยบายลงทุนเน้นความระมัดระวัง หรือเรียกกันว่า แพสซีฟฟันด์ จะเน้นเรื่องการสร้างผลตอบแทนให้ล้อไปกับดัชนีอ้างอิง
- กองทุนมีนโยบายลงทุนกับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือเรียกกันว่า มิดแอนด์สมอลล์แคป
กรณีต่อมาเป็นการลงทุนในหุ้นรายกลุ่มหรือเซ็คเตอร์ฟันด์ ซึ่งขอแนะนำกองทุนหุ้นเฮลทแคร์ เพราะได้ประโยชน์จากโครงสร้างของประชากรทั่วโลก ซึ่งต้องยอมรับว่าปริมาณของผู้สูงอายุมีอัตราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการแพทย์ก็เพิ่มสูงตาม การลงทุนเช่นนี้เหมาะมากสำหรับคนคิดลงทุนระยะยาว อีกทั้งราคาหุ้นที่ซื้อขายกันเวลานี้ยังมีราคาถูกกว่าดัชนี S & P 500 ด้วย
เรื่องสุดท้ายเป็นการจัดพอร์ตเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับระดับของความเสี่ยง และเหมาะกับเป้าหมายในการลงทุนโดยขอยกตัวอย่างจากการจัดพอร์ตกองทุนรวม จากเว็บของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมมุติต้องการเก็บเงินดาวน์ซื้อบ้าน 3 แสนบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี แต่ก็ไม่อยากรู้สึกเงินก้อนนี้มันต้องเสี่ยงเกินไปเราสามารถเลือกจัดพอร์ตแบบระวังได้ โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมตราสารเงิน 30% กองทุนรวมตราสารหนี้ 40% ปิดท้ายด้วยกองทุนรวมตราสารทุน 30% ผลตอบแทนเฉลี่ยซึ่งคุณจะได้รับต่อปีอยู่ที่ 5.9%
อีกตัวอย่างสมมุติว่าต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณ มีเวลายาวนานก็ให้เลือกจัดพอร์ตตามช่วงวัยไป เช่น ตอนวัยทำงานยังพอรับความเสี่ยงสูงได้เน้นจัดพอร์ตสายนี้ให้กองทุนรวมตราสารเงิน 10% กองทุนรวมตราสารหนี้ 20% ก่อนใส่ให้หนักตรงกองทุนรวมตราสารทุนถึง 70% ผลตอบแทนเฉลี่ยคาดว่าจะได้ราว 9.5% ต่อปีเลยทีเดียว นับว่าไม่น้อยเหมือนกัน